ข่าวอัพเดท » “วิชา”ปัดแทรกแซงอัยการปมสอบคดี”บอส”

“วิชา”ปัดแทรกแซงอัยการปมสอบคดี”บอส”

23 กันยายน 2020
1236   0

นายวิชา มหาคุณ ยืนยัน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ไม่ได้แทรกแซง การทำหน้าที่ตามกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ของอัยการกรณีตรวจสอบคดี “บอส อยู่วิทยา”ส่วนกรณี พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผบ.ตร. ไม่มีคำสั่งแย้งอัยการในคดีดังกล่าว ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่น่ากระทบพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

ณ. บริเวณ อารคารศาลาดนตรีสุริยเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และในฐานะคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ถอดบทเรียนกระบวนการยุติธรรม กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน” ถึงความคืบหน้ากรณีผลการตรวจสอบคดีนายวรยุทธ “บอส อยู่วิทยา” ซึ่งล่าสุด ทางนายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ออกมาระบุว่า ยังรอสำนวนฉบับเต็มผลสอบ สวนคดีนายบอส จากเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)เพราะที่ได้รับมาเป็นสำนวนฉบับย่อ ซึ่งคาดว่าจะได้เร็วๆ นี้ เพราะการจะไปสอบบุคคลใดที่เกี่ยวข้องหรือเน้นสอบเฉพาะบางคนนั้นไม่ถูกต้อง ต้องได้เอกสารแล้วสอบทีเดียว ว่า เรื่องนี้มีการประสานเลขาธิการ ป.ป.ท. ให้ส่งเอกสารทั้งหมดไปให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่จะต้องดำเนินการเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ และกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ดำเนินการตรวจสอบบุคคลที่ไม่ใช้เจ้าหน้าที่รัฐอย่างเช่น นักวิชาการที่มาคำนวณความเร็วรถยนต์ของนายวรยุทธในวันเกิดเหตุ เป็นต้น

เมื่ออถามว่า การที่นายกรัฐมนตรี ตั้งคณะทำงานของนายวิชาขึ้นมา ตรวจสอบคดี นายบอส เป็นการยืมมือคณะทำงานฯ แทนการใช้อำนาจ มาตรา 44 หรือไม่ นายวิชา ระบุว่า การใช้ ม.44 เมื่อมี คสช. เท่านั้น แต่นายกรัฐมนตรีเข้ามาระบอบประชาธิปไตย มีรัฐสภาในการรองรับรวมถึงกระบวนการการตรวจสอบ ประชาชน องค์การต่าง ๆ ก็สามารถเข้ามาร่วมการตรวจสอบได้ ไม่ใช่ระบบแบบตอนยึดอำนาจ  เมื่อถามอีกว่า อัยการสูงสุด ได้ยืนยันว่า คำสั่งไม่ฟ้องคดีของ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด เป็นไปตามอำนาจหน้าที่และเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว นายวิชา กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนตรวจสอบจากการที่อัยการตั้งคณะตรวจสอบ เมื่อเขาทำรายงานออกมา แต่ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการอัยการ ต้องตั้งคณะตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการตรวจสอบสวนวินัยสำหรับอัยการสูงสุด และรองอัยการสูงสุด

เมื่อถามว่า มีความเห็นอย่างไร กรณีมีนักวิชาการด้านกฎหมายออกมากล่าวว่า การทำงานของคณะทำงานตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี เป็นการแทรกแซงการทำหน้าที่ตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ของอัยการซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยนายวิชา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแทรกแซง เป็นเพียงความเห็นเฉพาะบุคคล และจะต้องผ่านระบบขององค์กรอัยการ อีกทั้งการประพฤติผิดทางจริยธรรมเป็นเรื่องร้ายแรงจึงต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบของ ป.ป.ช. และศาลพิจารณา และส่วนตัวมองว่า หากเจ้าหน้าที่อยู่ในระบบที่อ่อนแอ มีการทุจริต ก็จะก่อให้เกิดปัญหา ดังนั้น สิ่งที่มีความสำคัญมาก คือ ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ยังค้างคาอยู่ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูป แต่ยังมีปัญหาอยู่เพราะตำรวจไม่อยากให้มีการปฏิรูปฝ่ายสืบสวนสอบสวน ที่จะต้องเป็นอิสระ ใครจะยุ่งเกี่ยวไม่ได้ และผู้ที่จะดูแลคือ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเท่านั้น ตนขอยืนยันว่า ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับนายมีชัย จะทำให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่า ครม. จะให้ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ผ่านแล้วก็ตาม ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ. ทั้งสองฉบับจะต้องส่งไปคู่กัน

นอกจากนี้ นายวิชา ยังระบุด้วยว่า คดีดังกล่าวจะไม่สูญเปล่า เพราะเป็นที่จับตาของประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนก็เผยแพร่คดีนี้อย่างกว้างขวาง หากทำเฉยไม่สนใจจะยิ่งทำให้กระแสการปฏิรูปมีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพราะกฎหมายเข้าสภาฯ แล้ว จะอยู่เฉยไม่ได้ และประชาชนก็ไม่เห็นด้วยกับการไม่แก้ไขอะไรเลย พร้อมยืนยันว่า ว่า หลังจากที่ได้ส่งรายงานของคณะทำงานฯ ให้แก่ นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายนั้น ไม่ ถือเป็นการ กดดันให้อัยการสั่งฟ้องคดีใหม่ตามกระแสวิจารณ์ เพราสามารถนำหลักฐานใหม่มาพิจารณาคดีความได้

ผู้สื่อข่าวได้ถามอีกว่า มีความเห็นอย่างไร กรณีสังคมมีการเปรียบเทียบ คดีวิคตอเรีย ซีเคร็ท ที่ DSI ได้จับกุมและสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์และคดีฟอกเงิน และต่อมาอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีผู้ต้องหาเหมือนอย่างเช่นคดีของนายวรยุทธ แต่กลับไม่มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งที่คดีวิคตอเรีย ซีเคร็ท มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศทั้งด้านการค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน โดยนายวิชา เผยว่า ดีเอสไอคงได้พิจารณา แต่ส่วนตัวยังไม่รู้เพราะอยู่ในมือของดีเอสไอ ตั้งแต่แรก เขาสามารถที่จะโต้แย้งได้ และนายกฯ ตอนนี้น่าจะคิดหนัก เพราะคดีอาจจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งตรวจสอบทุกเรื่อง เพราะมันมีบทเรียนอยู่แล้ว สามารถดำเนินการให้มีการเปลี่ยนแปลงได้

ในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผบ.ตร. ไม่มีคำสั่งแย้ง คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการในคดีดังกล่าว ได้ดำเนินการโดยชอบตามอำนาจหน้าที่แล้วหรือไม่ นายวิชา ระบุว่า อาจจะไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดของคดีนี้ เพราะฉะนั้นตำรวจ จะต้องเป็นผู้สอบสวนเอง ส่วนจะกระทบกับความน่าเชื่อถือของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ มองว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคล เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะ พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้เป็นคนตั้ง และ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ก็เป็นตำรวจโดยอาชีพ